รักนั้นเป็นฉันใด-2

By : Anusorn Tipayanon


ความอ่อนโยนเกี่ยวข้องกับความรักอย่างไร ท่าน ติชนัท ฮันท์ ได้กล่าวว่า “แก่นของความอ่อนโยนนั้นอยู่ที่การมอบความสุขให้ผู้อื่น เรามีศักยภาพที่จะเป็นดังดวงตะวันให้กับผู้อื่นได้ แต่สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเราเป็นดวงตะวันให้ตนเอง ดังนั้นเราต้องเริ่มด้วยการยอมรับตนเอง ต้องเริ่มด้วยการเรียนรู้ที่จะรักและเยียวยาตนเอง เรียนรู้ที่จะมีสติที่จะสามารถสร้างความสุขและความเบิกบานให้แก่ตนเอง และเมื่อนั้นเองเราจะเริ่มพร้อมที่จะมอบมันให้แก่บุคคลอื่น”

ในแง่ของความสงบนั้น ท่าน นัท ฮันท์ ได้เปรียบเทียบกับคำสันสกฤตคืออุเบกขา แปลว่า”การไม่แบ่งเขาแบ่งเรา” ซึ่งในความรักนั้นหมายถึงการไม่มีเส้นแบ่งระหว่างเราและบุคคลที่เรารัก ความทุกข์ของคนที่เรารักคือความทุกข์ของเรา และความทุกข์ของเราก็คือความทุกข์ของคนที่เรารัก การพูดว่านั่นเป็นปัญหาของคุณคือการแสดงออกถึงการไม่เข้าใจและไม่ใส่ใจอย่างถึงที่สุด

นอกเหนือจากองค์ประกอบทั้งสี่อันได้แก่ความอ่อนโยน ความกรุณา ความไม่แบ่งเขาแบ่งเราและความปิติเริงรื่นแล้ว คุณสมบัติย่อยที่สำคัญอีกข้อคือความไว้เนื่อเชื่อใจหรือความศรัทธาซึ่งกันและกัน ความรักที่ปราศจากความเชื่อใจย่อมไม่อาจดำรงอยู่ได้ แต่ก่อนที่จะไปถึงจุดนั้น เช่นเดียวกันกับที่เราต้องสร้างความศรัทธาหรือความไว้เนื้อเชื่อใจในตนเองเสียก่อน เริ่มต้นด้วยความเชื่อใจว่าเรามีคุณความดีที่แฝงเร้นอยู่ในตัวและสามารถพัฒนามันได้ และเมื่อเราประจักษ์เช่นนั้นในตนเอง เราย่อมประจักษ์มันในบุคคลอื่นด้วยเช่นกัน

ท่าน ไดเซ็ต ซูซูกิ เป็นนักบวชเซ็นที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งในศตวรรษก่อนเคยกล่าวไว้ว่า “การยึดมั่นตัวตนของเราเป็นอุปสรรคสำคัญที่สุดต่อการเติบโตของเราในทุกๆด้าน” ซึ่งท่าน นัท ฮันท์ เห็นว่ามันเป็นเช่นนั้นโดยแท้จริง คำว่า “ฉัน” หรือ “ตัวฉัน” เข้าไปข้องเกี่ยวในทุกสิ่งของชีวิตเราโดยเฉพาะในกรณีของความรัก “ฉัน” หรือ “ตัวฉัน” มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง เมื่อเราพูดคำว่า “ฉันรักเธอ” ฉันผู้นั้นจะเริ่มต้นกำหนดทุกสิ่ง ฉันผู้นั้นจะสนใจตัวฉันที่กำลังมีความรักแทนที่จะสนใจความรักที่ก่อตัวขึ้น และทำให้เขาหลงลืมหลายสิ่งหลายอย่างไป

ท่าน นัท ฮันท์ ได้เน้นว่า “บ่อยครั้งเวลาที่เรากล่าวคำว่า ฉันรักเธอ เราจะหมกมุ่นกับสิ่งที่เรียกว่าฉันที่กำลังตกอยู่ในห้วงรักมากกว่าคุณภาพของความรักที่เราจะสร้างขึ้น นั่นเป็นเพราะว่าเราตกอยู่ในกับดักของตัวตนและตัวเรา เราคิดว่าเรามีตัวตนที่จริงแท้แน่นอน แต่ทว่าไม่เคยมีตัวตนแบบที่ว่าอยู่เลย

ดอกไม้นั้นมีอยู่ได้เพราะต้องพึ่งพาสิ่งที่ไม่ใช่ดอกไม้จำนวนมาก อาทิ คลอโรฟิลล์ แสงแดด และน้ำ ถ้าเราเอาสิ่งต่างๆนี้ออกไปจากดอกไม้ ความเป็นดอกไม้ย่อมสูญสลายไปด้วย ดอกไม้ไม่อาจดำรงตนอยู่ได้อย่างโดดเดี่ยว ดอกไม้มีได้เพราะสิ่งอื่นๆ มนุษย์ก็เช่นกัน เราไม่อาจดำรงอยู่ได้อย่างโดดเดี่ยว เราถูกสร้างขึ้นจากสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเราจำนวนมากเช่น ดิน แสงแดด พ่อ แม่ บรรพบุรุษ เมื่อเรามองเข้าไปในความสัมพันธ์ เราก็จะเห็นการพึ่งพิงเช่นนั้นกับคู่รักของเรา ความทุกข์ของเขาส่งผลกระทบถึงเราและความทุกข์ของเราก็เป็นส่วนหนึ่งของเขาในความรัก ความสุขของเราฉายฉานไปที่เขาและความสุขของเขาก็ทำให้เราชื่นบาน การเห็นความจริงเช่นนี้จะทำให้เราพูดและกระทำต่างไปจากเดิมและจะทำให้ความทุกข์ในโลกนี้ลดน้อยลงด้วย”

ท่าน นัท ฮันท์ เห็นว่าความรักเป็นสิ่งสำคัญแต่ในขณะเดียวกันผู้คนกลับเข้าใจมันน้อยเต็มที กวี ไรเนอร์ มาเรีย ริลเก้ ได้เขียนจดหมายถึงพื่อนของเขาในปีค.ศ.1904และกล่าวข้อความที่เป็นจริงจวบจนถึงปัจจุบัน

“สำหรับมนุษย์เราแล้ว การรักใครสักคนอย่างจริงจัง อาจเป็นสิ่งที่ทำได้ยากเย็นที่สุด ทุกสิ่งที่เราทำในชีวิตนั้นดูจะเป็นไปเพื่อให้เรารักใครสักคนได้สำเร็จเท่านั้นเอง”

“For one human being to love another: that is perhaps the most difficult of all our tasks… the work for which all other work is but preparation.”

-Rainer Maria Rilke

 

Reviews

Comment as: