Beauty Diversity ความงามตามจริง

By : Kamolkarn Kosolkarn


นับตั้งแต่ที่เวทีวิกตอเรีย ซีเคร็ต มีสัดส่วนนางแบบจากทวีปเอเชียและนางแบบผิวสีเพิ่มมากขึ้นทุกปี หรือหน้าปกนิตยสารโว้ก (VOGUE) เลือกนางแบบผิวสีมาเป็นไฮไลท์สำคัญ ไปจนถึงการเปิดตัวแคมเปญจากแบรนด์ลอรีอัล ‘Your Skin, Your Story’ นำเสนอฟาวเดชั่นที่มีให้เลือกถึง 33 เฉดสีผิว นำทีมโดยนักแสดงอย่างเบลค ไลฟลี่ (Blake Lively) พร้อมนางแบบผิวสีที่มีหลายเชื้อชาติ ปรากฏการณ์ต่างๆ เหล่านี้กำลังบอกเราว่า ในปีหน้า มาตรฐานความงามของโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไป

https://www.youtube.com/watch?v=q60P587MXBU

ตลาดความงามในความหลากหลายทางวัฒนธรรมกำลังสร้างแรงสั่นสะเทือนและเติบโตอย่างรวดเร็วในทั่วทุกมุมโลก แบรนด์เครื่องสำอางชั้นนำต่างร่วมกันสนับสนุนและเป็นส่วนหนึ่งของการตอบรับต่อความงามตามหลากหลายทางเชื้อชาติ โดยที่ผ่านมา เหล่าผลิตภัณฑ์หรือเครื่องสำอางจากแบรนด์ชั้นนำล้วนแต่ผลิตสินค้าขึ้นมารองรับผู้หญิงผิวขาวเท่านั้น แต่ในปี 2017 มาตรฐานความงามเปลี่ยนสู่ทิศทางใหม่

เมื่อตลาดด้านความงามที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างสหรัฐอเมริกา ตามรายงานจาก US Census Bureau กล่าวว่า ประชากรในประเทศที่เป็นเชื้อชาติอื่น นอกจากคนผิวขาวนั้นจะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นย่างต่อเนื่อง ในปี 2050 ประชากรจำนวน 28% จะเป็นฮิสแพนิก 17% จะเป็นแอฟริกัน-อเมริกัน และ 8% เป็นชาวเอเชีย สถิติที่เพิ่มมากขึ้นเหล่านี้กำลังบอกว่า นี่คือโอกาสและว่าที่ลูกค้ากลุ่มใหม่ที่แบรนด์ต่างๆ ต้องกำหนดทิศทางให้รองรับอย่างทันท่วงที

แน่นอนว่าที่ผลิตภัณฑ์ความงามของแบรนด์ชั้นนำนั้น มีเพื่อกลุ่มลูกค้าที่เป็นคนผิวขาว ก็เพราะว่าแบรนด์เครื่องสำอางชั้นนำ 7 แบรนด์นั้นมาจากการก่อตั้งในทวีปยุโรปและอเมริกา แต่ในขณะเดียวกัน อัตราการเติบโตของกลุ่มผู้ซื้อที่ไม่ใช่คนผิวขาว ก็เพิ่มมากขึ้น และกำลังเข้าครอบครองตลาดอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างประชากรชาวจีนแผ่นดินใหญ่ ที่มีมูลค่าการตลาดของเครื่องสำอางมากถึง 3.67 พันล้านเหรียญฯ ผู้หญิงวัย 20-30 แต่งหน้าเป็น 88% หรือตลาดความงามของอินเดียก็มีการคาดการณ์ว่าจะมีมูลค่ามากถึง 20 พันล้านเหรียญฯ ในปี 2050 แสดงให้เห็นถึงความเคลื่อนไหวของผู้บริโภคที่ต่างออกไปจากเดิม

เมื่อแบรนด์ใหญ่เริ่มขยับตัว
ความเปลี่ยนแปลงเริ่มถูกพิสูจน์ให้เห็นชัดขึ้น เมื่อแบรนด์เครื่องสำอางชั้นนำเริ่มเปิดตัวผลิตภัณฑ์ ที่เล็งเห็นถึงความสำคัญของความสวยงามสำหรับผู้หญิง ที่มีความแตกต่างทางด้านเชื้อชาติ ไม่ว่าจะเป็น MAC นำเสนอผลิตภัณฑ์สำหรับสีผิวที่แตกต่างกันในหลายระดับ หรือ Estee Lauder วางตำแหน่งเป็นแบรนด์ที่มาพร้อมกับผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำ ส่งผลให้เป็นแบรนด์ที่ขายดีในประเทศอย่างอินเดีย บราซิล และแอฟริกาใต้

แต่ในบางครั้งที่การเปลี่ยนแปลงก็ยังไม่ทันใจ เราจึงได้เห็นแบรนด์เครื่องสำอางใหม่ๆ ที่ริเริ่มมาเพื่อคนผิวสีและเชื้อชาติที่มีความแตกต่างจาก “ค่านิยม” ไม่ว่าจะเป็น Black up, Carol’s Daughter หรือ Fashion fair ที่มุ่งเน้นผลิตผลิตภัณฑ์รองรับกลุ่มลูกค้าที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม แม้จะยังต้องเผชิญกับปัญหาเรื่องการจัดจำหน่ายนอกเหนือเมืองชั้นนำ แต่ภาพโฆษณาที่เผยแพร่ออกมาก็เป็นการส่งสัญญาณถึงการเปลี่ยนแปลงและศักยภาพมหาศาลที่เกิดขึ้น

ความงามตามธรรมชาติ
การที่นักร้องสาวเสียงดีอย่าง อลิเชีย คีย์ (Alicia Key) ตัดสินใจ “งดแต่งหน้า” ออกอากาศ ตลอดการเป็นกรรมการในรายการเดอะ ว๊อยซ์ ไปจนถึงเหล่าคนดังอย่างไทร่า แบงค์ส (Tyra Banks) หรือกาเบรียลา ยูเนียน (Gabrielle Union) ที่เลือกไม่แต่งหน้าออกงานอีเว้นท์ด้วยเช่นกัน แม้แต่นักร้องวัยรุ่นอย่างลอร์ด (Lorde) ทวิตเตอร์ว่า ไม่ต้องลบรอยสิวของเธอ เพราะตำหนิเหล่านั้นคือความเป็นธรรมชาติที่วัยรุ่นไม่จำเป็นต้องปกปิด ตัวอย่างเรื่องความงามตามธรรมชาติเหล่านี้เป็นความคลื่อนไหวที่ขับเคลื่อนโดยผู้นำทางความคิดอย่างบล็อกเกอร์ วล็อกเกอร์ เซลบริตี้ หรือผู้บริโภคเอง เพื่อเฉลิมฉลองให้กับความสวยงามที่หลากหลายมากกว่าการชื่นชมกับความงามตามมาตรฐานแบบเดิม

 

Reviews

Comment as: