เจนเนอเรชั่นอัลฟ่า เมื่อวัยฟันน้ำนมเปลี่ยนโลก (ตอนที่ 2)

By : Kamolkarn Kosolkarn


หลังจากตอนที่แล้ว เราได้แนะนำให้ผู้อ่านรู้จักกับ เจนเนอเรชั่นอัลฟ่า ว่ามีลักษณะและคุณสมบัติอย่างไรบ้าง ในตอนนี้เราจะพาไปดูว่า ทำไมเด็กเจนเนอเรชั่นนี้ ถึงสร้างอิทธิพลให้กับโลกธุรกิจได้อย่างมหาศาล

เริ่มจากเรื่องของรสนิยมของเด็กเจนนี้ ที่ถูกยกระดับมากขึ้นอย่างที่เหล่าผู้ใหญ่อาจตามกันไม่ทัน จากเดิมที่เราอาจคุ้นเคยว่าเด็กเล็กจะชอบตัวการ์ตูนดิสนีย์ (เหมือนอย่างเราในอดีต) แต่ไม่ เด็กเจนนี้พัฒนาเรื่องรสนิยมจนเทียบเท่ากับผู้ใหญ่ สังเกตได้ง่ายสุดคือพวกเขาจะเลือกสวมใส่เสื้อผ้า ที่ดูดีเหมือนกับพ่อแม่ จะมีต้นแบบเป็นเซเลบริตี้คนดัง จนทำให้ตลาดธุรกิจเสื้อผ้าเด็กนั้นขยายตัวอย่างรวดเร็ว ในสหรัฐอเมริกา ธุรกิจเสื้อผ้าเด็กนั้นมีมูลค่ามากถึง 156.8 พันล้านเหรียญ หรือในอังกฤษ ปี 2017 ธุรกิจเสื้อผ้าเด็กแตะตัวเลขที่มากถึง 8.5 พันล้านเหรียญเลยทีเดียว

ไม่ใช่แค่เพียงการได้ซื้อเสื้อผ้าใส่เท่านั้น แต่แบรนด์เสื้อผ้าไฮเอนด์อย่างชาแนลหรือบัลแมง ก็ตัดสินใจเปิดกลุ่มลูกค้าใหม่ ด้วยการเปิดตัวเสื้อผ้าลักซ์ชัวร์รี่สำหรับเด็ก ที่เรียกได้ว่าการออกแบบนั้นไม่ต่างจากเสื้อผ้าของผู้ใหญ่เลยแม้แต่น้อย นอกจากนี้ เจนเนอเรชั่นอัลฟ่าบางคนยังเป็นสไตล์ ไอคอนด้านการแต่งตัว ทั้งได้รับเชิญนั่งแถวหน้าในงานแฟชั่นโชว์ ถูกถ่ายรูปลงนิตยสารชั้นนำ หรือการมีบัญชีอินสตาแกรมของตัวเองที่มีผู้ติดตามนับล้าน และที่สำคัญคือการที่แบรนด์ดังต่างๆ ให้ความสำคัญกับเด็กกลุ่มนี้ในฐานะลูกค้าที่จะมีรอยัลตี้กับแบรนด์ต่อไปในระยะยาว

หรือชื่อของ Sydney Kaiser ที่รู้จักกันในชื่อ Mayhem เป็นแฟชั่นดีไซเนอร์ที่มีผู้ติดตามในโซเชียล มีเดียกว่า 5 แสนคน เปิดตัวคอลเล็กชั่น “Fashion by Mayhem” ร่วมกับแบรนด์ J. Crew อย่างประสบความสำเร็จ โดยที่เธอมีอายุเพียง 4 ขวบเท่านั้น

ความสำเร็จของ Mayhem เป็นสิ่งพิสูจน์ว่าเจนเนอเรชั่นอัลฟ่าคือ Creative Class อย่างแท้จริง เป็นคนกลุ่มที่สร้างสรรค์ผลงานตั้งแต่วัยเด็ก ตัวอย่างอื่นๆ เช่น Cosette Swart ศิลปินวัย 4 ขวบที่วาดภาพและขายได้กว่า 60 ชิ้นเพื่อนำรายได้เข้าการกุศล หรือ Hawkeye Huey ช่างภาพวัย 6 ขวบที่มีผู้ติดตามในอินสตาแกรมกว่า 2 แสน และกำลังเปิดตัวหนังสือภาพถ่ายของตัวเอง

การเป็นกลุ่มคนสร้างสรรค์ของเจนอัลฟ่าได้นั้น เกี่ยวข้องกับการพัฒนาของเทคโนโลยีเป็นหลัก เจนอัลฟ่านี้เอง ที่เกิดขึ้นมาท่ามกลางการที่โซเชียลมีเดีย ขับเคลื่อนวัฒนธรรม DIY การแสดงออกถึงสุนทรียะนั้นกลายเป็นมาตรฐานปกติ และการใช้เวลาไปกับคลาสเรียนจัดดอกไม้ ถักนิตติ้ง หรือเย็บผ้า ก็ทำให้เด็กวัยคลานสามารถแสดงผลงานผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ ได้ทันทีอีกด้วย

ไม่ใช่แค่เพียงจำนวนประชากรของเจนเนอเรชั่นนี้ ในอนาคตเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของการเติบโตมาท่ามกลางการเปิดกว้างทางสังคม ความล้ำสมัยของเทคโนโลยี และการคำนึงถึงตัวตนเป็นสำคัญ ทำให้เจนอัลฟ่ามีอำนาจในการขับเคลื่อนโลกในอนาคต มากกว่าเจน Z ที่แก่ตัวลงไป และหากแบรนด์หรือธุรกิจไหน มองเห็นโอกาสและให้ความสำคัญกับคนเจนนี้ได้ก่อน ก็หมายถึงการเห็นชัยชนะในการครองใจว่าที่ลูกค้าในอนาคตได้อย่างแน่นอน

 

Reviews

Comment as: