เจนเนอเรชั่นอัลฟ่า เมื่อวัยฟันน้ำนมเปลี่ยนโลก (ตอนที่ 1)
By : Kamolkarn Kosolkarn
การกำหนดช่วงวัยต่างๆ เป็นเจนเนอเรชั่น ที่หลายคนเคยได้ยินมา ทั้งเจน X เจน Y หรือเบบี้ บูมเมอร์ แต่ละเจนเนอเรชั่นก็มีความแตกต่างและลักษณะเฉพาะที่ไม่เหมือนกัน Trend Tab ตอนนี้จะพาไปทำความรู้จักกับ เจนเนอเรชั่น อัลฟ่า (Alpha) หรือเด็กเล็กที่เกิดในช่วงปี 2010-2024 หรือเด็กตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 7 ขวบในวันนี้
ไม่น่าแปลกใจที่เราจะเห็นเด็กเล็กวัยเตาะแตะ ได้เป็นเซเลบริตี้ มีผู้ติดตามหลักล้านในโลกโซเชียล เห็นคอลเล็กชั่นเสื้อผ้า ที่ถูกออกแบบโดยเด็กวัยเพียง 4 ขวบเท่านั้น ลูกชายลูกสาวของเหล่าคนดังที่กลายเป็นผู้นำแฟชั่น ให้คนทั้งโลกได้ติดตาม นี่คือกลุ่มคนที่ได้ชื่อว่าเป็น The Next Next generation ที่เกิดในช่วงศตวรรษที่ 21 อย่างเต็มตัว โดยเป็นลูกของกลุ่มคนเจน Z กลุ่มคนที่สร้างความเปลี่ยนแปลงและใช้จ่ายเงินให้กับการบริโภคอย่างมหาศาล เจนอัลฟ่า จึงก้าวขึ้นมาเป็นกลุ่มลูกค้ากลุ่มใหญ่ที่หลายธุรกิจต้องครอบครองการตัดสินใจของพวกเขาไว้อยู่หมัด
การคาดการณ์จากบริษัทวิจัยทางสังคม McCrindle รายงานว่า ในปี 2025 เจนเนอเรชั่นอัลฟ่านี้จะมีจำนวนมากถึง 2 พันล้านคน โดยเฉพาะประเทศอินเดีย และแอฟริกาที่จำนวนเจนอัลฟ่า จะเพิ่มมากขึ้น แอฟริกาจะเพิ่มขึ้น 1.3 พันล้านคนระหว่างปี 2015 ถึงปี 2050 โดยอินเดียในปี 2020 ที่จะถึงนี้ เจนอัลฟ่าคือปัจจัยที่เข้ามาทำให้ประชากรของอินเดียนั้นมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นแซงหน้าจีน
สิ่งหนึ่งที่เจนเนอเรชั่นอัลฟ่าหลีกเลี่ยงไม่ได้นับตั้งแต่แรกเกิดก็คือ เทคโนโลยี เจนนี้เรียกได้ว่าเป็น Screenagers เป็นเจนเนอเรชั่นที่สามารถปรับและใช้งานเทคโนโลยีได้อย่างรวดเร็ว โดยในบางครั้ง เร็วกว่าการเรียนรู้พื้นฐานในการใช้ชีวิตอย่างการเข้าห้องน้ำเสียอีก
เครื่องมืออย่างสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต จะมีบทบาทเป็นเครื่องมือสำหรับการเรียนรู้ อย่างเต็มรูปแบบ รายงานจาก Common Sense Media กล่าวว่า เด็กเล็กกว่า 30% จะมีของเล่นเป็นโทรศัพท์มือถือ (ทั้งๆ ที่พวกเขายังใส่แพมเพิร์สกันอยู่) สอดคล้องกับรายงานของ Pediatrics Journal ที่รายงานกว่า เด็กเจนนี้จะมีอุปกรณ์สมาร์ทโฟนเครื่องแรก เมื่อพวกเขาอายุ 3 ขวบ และสามารถใช้งานได้ทันทีโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาคู่มือ หรือคำแนะนำการใช้งานจากพ่อแม่
นิยามของของเล่นก็เปลี่ยนไปสำหรับเด็กเจนเนอเรชั่นนี้ ด้วยความที่พ่อแม่เป็นกลุ่มคนเจน Z ที่มีความระแวดระวังเรื่องสารเคมีที่แฝงมากับวัสดุในของเล่น ทำให้พวกเขาใส่ใจการเลือกมากขึ้นด้วยการเลือกใช้ของเล่นไม้จากวัสดุธรรมชาติ หรือของเล่นออร์แกนิกปราศจากสารเคมี 100% (จนเกิดเป็นกระแสของเล่นแบบกรีน ทำให้ยอดขายของเล่นเพิ่มขึ้น 30% จากปี 2014) หรือการเปิดกว้างทางสังคมที่คนรุ่นพ่อแม่ได้บุกเบิกเอาไว้ ทำให้หน้าตาของของเล่นสำหรับเจนอัลฟ่าอย่างตุ๊กตาบาร์บี้ ก็เปลี่ยนไปเป็นมี 4 รูปร่าง 7 สีผิว สีผมและสีดวงตาที่หลากหลายตามชาติพันธุ์ ไปจนถึงบริษัทของเล่นอย่าง Toy Like Me ที่เปิดตัวตุ๊กตาของเล่นที่มีความทุพพลภาพ เลโก้ เปิดตัวเลโก้หุ่นที่นั่งรถเข็นวีลแชร์
โดยมีหมวดหมู่ของเล่นใหม่ที่เกิดขึ้นมารองรับความต้องการของเด็กเจนอัลฟ่า นั่นคือ Ed-tech หรือ Educational technology ปรับเปลี่ยนของเล่นแบบเดิมอย่างตุ๊กตา โมเดลรถ หุ่นสัตว์ ให้สามารถอินเทอร์แอ็คทีฟได้ด้วยเทคโนโลยี สามารถสั่งการได้ผ่านแท็บเล็ตหรือมือถือ เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับการเรียนรู้ของเด็ก
ในตอนหน้าจะพาไปดูว่า เจนนี้ส่งผลกับโลกแฟชั่นและโลกธุรกิจได้อย่างไร ติดตามได้ในตอน 2