Cloud Data ชีวิตติดซิงก์
By : Isriya Paireepairit
ชีวิตติดซิงก์ เมื่อข้อมูลทุกอย่างของเราอยู่บนคลาวด์
มาถึงวันนี้ แนวคิดของ “คลาวด์คอมพิวเตอร์” ไม่ใช่เรื่องใหม่อีกต่อไปแล้ว ชีวิตคนเราในหนึ่งวัน ย่อมต้องมีอันพัวพันกับระบบคลาวด์อย่างน้อย 1-2 เจ้าอยู่เสมอ และชีวิตของเรากำลังเข้าสู่ยุคสมัยที่ข้อมูลทุกอย่างอยู่บนคลาวด์
อีเมล ถือเป็นบริการออนไลน์ตัวแรกๆ ที่ข้อมูลของเราอยู่บนคลาวด์ตลอดเวลา ในการใช้งานอีเมลอย่าง Hotmail หรือ Gmail เราเพียงแค่เข้าใช้งานผ่านเว็บ ไม่ว่าอยู่ที่ไหนในโลก เราก็สามารถเข้าถึงอีเมลของเราได้เสมอ
ในอดีต เรามีพื้นที่ค่อนข้างจำกัดในการเก็บอีเมลเก่าๆ เอาไว้ แต่หลังจาก Gmail ออกสู่ตลาดและให้พื้นที่เก็บเมลแบบจุใจ ชนิดว่าแทบไม่ต้องลบเมลอีกเลย ส่งผลให้คู่แข่งรายอื่นๆ ต้องปรับตัวตามอย่างบ้าง
การใช้งานเว็บ ถือเป็นการเก็บข้อมูลบนคลาวด์อีกเช่นกัน ถึงแม้เราไม่ได้เก็บไฟล์เว็บแต่ละหน้าเอาไว้ แต่เว็บเบราว์เซอร์รุ่นใหม่ๆ อย่าง Chrome ก็เก็บข้อมูลไว้หมดว่าเราเข้าเว็บไซต์อะไรอยู่บ้าง จดจำรหัสผ่านของเว็บไซต์ไหนเอาไว้ ถ้าหากเรามีคอมพิวเตอร์หลายเครื่อง ก็สามารถกดดูได้ทันทีว่าอีกเครื่องเปิดเว็บไซต์อะไรเอาไว้บ้าง ทำงานต่อได้ทันที
ต่อมา การเก็บไฟล์ บนคลาวด์ก็เริ่มได้รับความนิยม หลังจาก Dropbox ออกสู่ตลาด ส่งผลให้บริษัทไอทีรายใหญ่ๆ ต้องหันมาทำธุรกิจแบบเดียวกันบ้าง เช่น Google Drive, Microsoft OneDrive และ Apple iCloud เรียกได้ว่าการเก็บไฟล์เอกสารทั่วๆ ไปที่ขนาดไม่ใหญ่นัก สามารถเก็บไว้บนคลาวด์แล้วเข้าถึงไฟล์ได้จากทุกที่ได้สบายๆ ปัญหาว่า “ลืมไฟล์ไว้ที่บ้าน” จึงหมดไป
ต่อมา เมื่อสมาร์ทโฟนเริ่มบูม แนวคิดของสมาร์ทโฟนคือเก็บข้อมูลส่วนตัวไว้บนคลาวด์ (ไม่ว่าจะเป็นของค่ายกูเกิล แอปเปิล หรือไมโครซอฟต์ก็ตาม) เมื่อเราเปลี่ยนสมาร์ทโฟนเป็นเครื่องใหม่ เพียงแค่กรอกรหัสผ่าน เราก็จะได้ข้อมูลกลับคืนมาเกือบหมด ไม่ว่าจะเป็นแอพหรือการตั้งค่าต่างๆ ถือเป็นการ “ซิงก์” ผ่านคลาวด์เช่นกัน
ยุคถัดมาของคลาวด์คือการจัดเก็บไฟล์มัลติมีเดียที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่และเปลืองพื้นที่มากคือ รูปภาพ เพลง วิดีโอ และเกม
กรณีของไฟล์วิดีโอจำพวกภาพยนตร์ รวมถึงวิดีโอเกม ที่คนทั่วไปไม่สามารถสร้างไฟล์เองได้ เน้นการบริโภคใช้งานอย่างเดียว ที่ผ่านมา เราอาจต้องก็อปปี้ไฟล์หนังหรือเกมไว้ในฮาร์ดดิสก์ แต่ปัจจุบัน บริการดูหนังออนไลน์แบบ Netflix ช่วยให้เราต่อเน็ตแล้วดูวิดีโอได้โดยไม่ต้องสำรองไฟล์เก็บไว้ ส่วนเกมก็มีบริการคล้ายๆ กันอย่าง Steam ที่ซื้อเกมแล้วจะโหลดมาเล่นซ้ำอีกกี่ครั้งก็ได้เสมอ
เดิมทีเราเก็บสะสมไฟล์เพลงรูปแบบ MP3 ไว้ในคอมพิวเตอร์เพื่อฟังเพลง แต่ทุกวันนี้ บริการเพลงแบบสตรีมมิ่งกำลังมาแรง เราเพียงจ่ายค่ารายเดือนแล้วฟังเพลงได้ไม่อั้น คลังเพลงของเราไม่จำกัดแค่ไฟล์เพลงของเราอีกต่อไป ปัจจุบันมีบริการเพลงแบบสตรีมมิ่งมากมายทั้งในไทยและในต่างประเทศ เช่น JOOX, Apple Music, Tidal, Spotify, KKBox เป็นต้น
ประเด็นเรื่องรูปภาพ บริการตัวใหม่ของกูเกิล Google Photos อนุญาตให้เราสำรองไฟล์ภาพจากกล้องมือถือได้ไม่จำกัดจำนวน ตราบใดที่ภาพมีขนาดไม่ใหญ่จนเกินไป เรียกได้ว่าปัญหาเรื่องมือถือพัง มือถือหาย แล้วภาพความทรงจำเก่าๆ หายไปด้วยก็แทบจะหมดไปอย่างสิ้นเชิง
จากตัวอย่างที่ยกมา จะเห็นว่าชีวิตดิจิทัลของเรายุคนี้สะดวกขึ้นมาก เพราะเข้าถึงข้อมูลแทบทุกอย่างได้จากคลาวด์
อย่างไรก็ตาม การที่ข้อมูลทุกอย่างของเราอยู่บนคลาวด์ ก็มีข้อเสียเช่นกันในประเด็นเรื่องข้อมูลส่วนตัว ที่อาจถูกคนอื่นเข้าถึงได้ง่าย เพราะถ้ามีคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือของเรา (เช่น ทำหายหรือโดนขโมย) ก็เข้าถึงไฟล์ข้อมูลแทบทั้งหมดของเราได้ทันที
สิ่งที่ผู้ใช้ทุกคนควรทำคือรักษาความปลอดภัยของอุปกรณ์ต่างๆ ให้ดี เทคนิคการรักษาความปลอดภัยขั้นต้นคือไม่ใช้รหัสผ่านที่เดาได้ง่าย เช่น ชื่อเล่น เบอร์โทรศัพท์ วันเกิด รวมถึงไม่เขียนรหัสผ่านจดไว้ในที่เห็นได้ชัดเจน (ผมเห็นพนักงานออฟฟิศหลายๆ คนใช้วิธีจดใส่กระดาษโพสต์อิท แปะข้างจอคอมพิวเตอร์ไว้เลย แบบนี้อันตรายมากๆ นะครับ)
เทคนิคการตั้งรหัสผ่านที่ดีอีกข้อคือไม่ควรใช้รหัสผ่านชุดเดียวซ้ำกันในหลายๆ เว็บไซต์ เพราะถ้าหากเว็บหนึ่งโดนแฮ็กไป แฮ็กเกอร์ก็สามารถนำรหัสผ่านของเราไปลองใช้กับเว็บอื่นได้ด้วย กรณีล่าสุดที่เพิ่งเกิดขึ้นมีคนดังอย่าง Mark Zuckerberg โดนแฮ็กเพราะปัญหานี้ไปแล้ว
เทคนิคอีกข้อหนึ่งที่ใช้งานได้ดีคือ เปิดใช้ระบบล็อกอินสองชั้น แทนที่จะต้องล็อกอินด้วยรหัสผ่านอย่างเดียว ก็ใช้โค้ดตัวเลขสุ่มอีกชุดที่ดูได้จากแอพบนมือถือของเราเท่านั้น หรือรับโค้ดผ่าน SMS เป็นครั้งๆ ไป วิธีการนี้จะช่วยให้เราปลอดภัยขึ้นจากการโดนแฮ็ก เพราะต่อให้ได้รหัสผ่านของเราไปก็ไม่สามารถล็อกอินได้อยู่ดี ตอนนี้บริการออนไลน์ดังๆ อย่าง Google หรือ Facebook ต่างก็รองรับระบบล็อกอินสองชั้นกันหมดแล้ว ผมแนะนำอย่างยิ่งว่าควรเปิดใช้งาน