ความคืบหน้าของเทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับในปี 2016 “Self Driving Car”
By : Isriya Paireepairit
เมื่อพูดถึง “รถยนต์ไร้คนขับ” ภาพที่คนทั่วไปมักนึกถึงคือรถยนต์คันเล็ก รูปทรงอ้วนป้อมน่ารักของกูเกิล ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีรายแรกๆ ที่ออกมาเปิดเผยโครงการรถยนต์ไร้คนขับ ต่อสาธารณะ ถ้านับถึงปัจจุบัน กูเกิลทำโครงการนี้มาได้เกือบ 8 ปีแล้ว
โครงการรถยนต์ไร้คนขับของกูเกิลไม่มีชื่อเรียกเฉพาะ คนทั่วไปจึงเรียกกันว่า Google Self-Driving Car แต่ล่าสุดกูเกิลก็เปิดตัวชื่ออย่างเป็นทางการว่า Waymo
Waymo จะมีสถานะเป็นบริษัทลูกของ Alphabet (บริษัทแม่ของกูเกิล) และมีแนวทางการทำธุรกิจเป็นของตัวเอง อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าเสียดายคือรถยนต์ทรงอ้วนป้อมน่ารัก จะไม่ได้ไปต่อกับ Waymo เพราะโมเดลธุรกิจของบริษัทจะไม่ผลิตรถยนต์ขายเองทั้งคัน แต่จะใช้วิธีจับมือกับบริษัทรถยนต์รายอื่นๆ ที่ผลิตรถยนต์ขายกันตามปกติอยู่แล้ว โดย Waymo จะดูแลเรื่องส่วนการควบคุมอัตโนมัติให้
ตอนนี้ Waymo มีพันธมิตรเป็นบริษัทรถยนต์แล้ว 2 รายคือ Chrysler และ Honda และคาดว่าบริษัทจะทยอยเปิดตัวพันธมิตรรายอื่นๆ เพิ่มเติมในอนาคต
รถยนต์ไร้คนขับเป็นเทคโนโลยีที่มาแรงในตลาดรถยนต์เป็นอย่างมาก โดยค่ายรถยักษ์ใหญ่ของโลกทุกรายต่างก็หันมาลงทุนวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีด้านนี้กันอย่างคึกคัก
บริษัทที่ดูจะก้าวหน้าที่สุดในเรื่องนี้คือ Tesla รถยนต์พลังงานไฟฟ้าสุดเซ็กซี่ของมหาเศรษฐี Elon Musk ที่อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีมากมาย รวมถึงปุ่ม “ขับเคลื่อนอัตโนมัติ” ที่ใช้งานได้จริงแล้ว
ยักษ์ใหญ่ของโลกรถยนต์อย่าง General Motors หรือ GM ก็ลงทุนซื้อบริษัททำระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติชื่อ Cruise เพื่อไปพัฒนาเทคโนโลยีด้านนี้โดยเฉพาะ ในขณะที่ Ford ค่ายรถอเมริกันอีกรายก็ตั้งบริษัทลูก Ford Mobility ขึ้นมาทำแบบเดียวกัน
ฝั่งญี่ปุ่นเอง พี่ใหญ่ Toyota ก็เป็นหัวหอกในการพัฒนารถยนต์ไร้คนขับ ส่วน Honda ถึงแม้เลือกจับมือกับ Waymo แต่ก็มีแล็บวิจัยของตัวเองเพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง กระจายความเสี่ยงไปในตัว
การเปิดบริษัทรถยนต์ไร้คนขับ 100% ที่ทำระบบทุกอย่างเอง ตั้งแต่ตัวรถไปยังซอฟต์แวร์นั้นเป็นเรื่องยากมาก เพราะบริษัทไอทีทั้งหลายเชี่ยวชาญด้านซอฟต์แวร์ก็จริง แต่ไม่มีความรู้ด้านการผลิตรถยนต์ที่ต้องมีโรงงานขนาดใหญ่และซัพพลายเชนของชิ้นส่วนรถยนต์จำนวนมาก นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไม Waymo ถึงเลือกไม่ทำรถยนต์เองทั้งคันตามแผนเดิม และตัดสินใจเปลี่ยนมาทำระบบควบคุมการขับขี่เพียงอย่างเดียว ส่วนตัวรถยนต์ก็ใช้วิธีพาร์ทเนอร์กับบริษัทอื่นๆ แทน
อีกบริษัทที่ทำแบบเดียวกันคือ Uber ที่มีเทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับของตัวเอง และใช้วิธีจับมือกับบริษัทรถยนต์คอยป้อนรถยนต์ให้ ตอนนี้ Uber กำลังทดสอบระบบของตัวเองในสหรัฐอเมริกากับลูกค้าจริงๆ แต่ก็ยังต้องมีพนักงานของ Uber นั่งอยู่ในรถตลอดเวลา แม้ไม่ได้ลงมือขับเองก็ตาม
อุปสรรคสำคัญของเทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับ ยังเป็นเรื่องความเชื่อมั่นของประชาชน ที่ยังคลางแคลงใจว่ารถยนต์ไร้คนขับ ปลอดภัยจริงหรือไม่ ถึงแม้ว่าในภาพรวมแล้ว การใช้ซอฟต์แวร์ควบคุมรถยนต์ อาจปลอดภัยกว่าการให้มนุษย์ขับ (เพราะไม่มีข้อผิดพลาดอย่างประมาท หลับใน) แต่เราก็ยังได้ยินข่าวความผิดพลาดของรถยนต์ไร้คนขับออกมาอยู่เรื่อยๆ ตั้งแต่อุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ อย่างรถยนต์ของ Waymo ไม่เข้าใจท่าสัญญาณมือของผู้ขับขี่จักรยาน ไปจนถึงระบบของ Tesla ที่แยกแยะรถบรรทุกสีขาวกับท้องฟ้าสีขาวไม่ได้ จนส่งผลให้เจ้าของรถยนต์เสียชีวิต
ตรงนี้ คงต้องใช้เวลาอีกสัก 2-3 ปีกว่าเทคโนโลยีจะมั่นคง ปลอดภัยพอ และเริ่มทำให้ประชาชนเชื่อมั่นกับเทคโนโลยีเหล่านี้มากยิ่งขึ้น