เมื่อสมองทำงานเพื่อผู้อื่น คุณจะชราช้าลง
By : Anusorn Tipayanon
ครั้งสุดท้ายที่เรานอนกลางป่านั้นเมื่อใดกัน?
เชื่อว่าหลายคนคงเคยร่วมกิจกรรมกลางแจ้งในสมัยเด็กๆมาไม่มากก็น้อย การออกค่ายลูกเสือ การเข้าค่ายสมัยเป็นนักศึกษา ชีวิตที่มีการกางเต๊นท์ ก่อกองไฟ ร้องเพลงหรือทำสันทนาการร่วมกัน สามหรือสี่วันประมาณนั้นก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้าน พร้อมกับความสดชื่นของร่างกายและอากาศบริสุทธิ์เต็มปอดหลังจากนั้น หลายคนอาจไม่มีโอกาสเช่นนั้นอีก ในขณะที่หลายคนกำหนดตารางเวลาว่าต้องมีสักครั้งในหนึ่งปีที่การใช้ชีวิตแบบนั้นจะเกิดขึ้น การได้รับอากาศบริสุทธิ์ การเข้าไปในป่าลึก ท่ามกลางความเงียบ ไร้แสงสีธรรมชาติ มีเพียงการขึ้นและลงของดวงอาทิตย์ ที่กำหนดโมงยาม ทั้งหมดนี้มีอะไรน่าดึงดูดหรือ
.
สถาบันแม๊กซ แพลงค์- Max Planck ในเยอรมันได้ทำการศึกษาปฏิสัมพันธ์ระหว่างสมองของผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองหรือ Urban Dweller กับอิทธิพลของป่าเขาและได้ผลลัพธ์ที่น่าสนใจ เสียง มลพิษ และพื้นที่อยู่อาศัยที่จำกัดก่อให้เกิดความเครียดมากมายแก่คนเหล่านั้น ผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคซึมเศร้า โรคกังวล หรือโรคเครียด สมองส่วนอมิกดาล่า-Amydgdala อันเป็นส่วนที่ใช้รับมือกับความอันตรายของพวกเขามีแนวโน้มที่จะทำงานหนักกว่าสมองของคนทั่วไป ไซม่อน คุนห์-Simon Kuhn นักวิจัยของสถาบันฯ ได้ทำการสำรวจจากกลุ่มตัวอย่างจากคนเมืองที่ย้ายตนเองไปอาศัยอยู่ใกล้กับสวนสาธารณะ ป่า หรือพื้นที่สีเขียว เขาพบข้อสังเกตเบื้องต้นที่น่าสนใจว่าสมองอมิกดาล่าของบุคคลเหล่านั้นมีแนวโน้มที่จะมีสุขภาพดีกว่าบุคคลที่อาศัยอยู่ในเมืองแบบปราศจากพื้นที่สีเขียว นอกจากนี้เขายังค้นพบว่าการแก่ชราของบุคคลประเภทแรกเป็นไปอย่างปกติ จากการทำกระบวนการสมองแบบ MRI ตัวอย่างของผู้เข้ารับการทดสอบจำนวน 341 คนมีอาการหลงลืม หรือเครียดมีน้อยกว่าบุคคลในวัยเดียวกันที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวง
.
ส่วนประเทศสหรัฐฯ เจน พลูสเนอร์ -Jens Pruessner นักวิจัยจากสถาบันทางจิต-ดักกลาส Douglas Mental Health University Institute พบว่าคนที่ใช้ชีวิตในเมืองหลวงมีอัตราความกระวนกระวายใจสูงกว่าผู้คนในเขตชนบทถึง 21 เปอร์เซนต์ และคนในเมืองใหญ่มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคจิตเภทสูงกว่าคนในชนบทถึงสองเท่า อย่างไรก็ตามแม้คนในชนบทจะมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคจิตเภทน้อยกว่าคนในเมืองหลวง แต่จากระดับการศึกษาที่ไม่สูงนัก พวกเขากลับมีอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคความจำเสื่อมเมื่ออายุมากขึ้น และหนทางแก้ที่ตรงไปตรงมาที่สุดคือเข้าร่วมกิจกรรมอาสาสมัครเพื่อดูแลผู้อื่น คริสติน พลูส์-Christine Proulx รองศาสตราจารย์ด้านพัฒนาการมนุษย์แห่งมหาวิทยาลัยมิสซูรี่ นำเสนอว่าจากตัวอย่างของผู้สูงอายุกว่าหนึ่งหมื่นคนที่เธอศึกษามาเป็นเวลามากกว่า 25 ปี คริสติน พบว่า ผู้สูงอายุที่ทำกิจกรรมช่วยเหลือผู้อื่นจะยังคงความสามารถด้านความจำ ความเร็วในการตัดสินใจไว้ได้ แม้อายุจะมากขึ้นก็ตามที เพราะกิจกรรมดังกล่าวจำเป็นต้องมีการวางแผนที่จะดูแลผู้อื่น การเรียนรู้ผู้อื่น และการตัดสินใจเฉพาะหน้าหากมีเหตุฉุกเฉิน คริสติน ให้ข้อสังเกตที่น่าสนใจว่าคนที่มีการศึกษาน้อยมีแนวโน้มมากที่จะสูญเสียความจำไปเมื่ออายุเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะคนในชนบท
.
ดังนั้นแม้พวกเขาจะไม่มีอัตราเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยทางจิตใจแต่การกลับมีอัตราเสี่ยงต่อการสูญเสียความจำ ดังนั้นการเข้าร่วมในกิจกรรมสาธารณประโยชน์จึงมีประโยชน์ต่อพวกเขามาก ความจำหรือการระลึกได้มีความสำคัญมากโดยเฉพาะในคนชราที่ต้องอยู่เพียงลำพัง อาการหลงลืมนั้นกลายเป็นอุปสรรคขั้นสูง ดังนั้นการเตรียมตัวเข้ากลุ่มเพื่อแบ่งปันการช่วยเหลือซึ่งกันและกันในหมู่ผู้สูงอายุจึงจำเป็นมากทีเดียว รวมถึงการหาโอกาสไปเที่ยวป่าเขาและทำกิจกรรมจิตอาสา ซึ่งสองสิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่เหลือบ่ากว่าแรง แต่จะทำให้ชีวิตคุณมีความสุขขึ้นอย่างเห็นได้ชัดโดยเฉพาะในส่วนของสมองของเรา